โรคสมองเสื่อม

 เรามักจะเข้าใจกันว่า  โรคสมองเสื่อมกับโรคอัลไซเมอร์หรือสมองฝ่อเป็นโรคเดียวกัน  เพราะมีอาการเหมือนกันหรือคล้ายคลึงกันเป็นส่วนใหญ่  แต่แท้ที่จริงแล้วเป็นเพียงโรคในกลุ่มเดียวกัน  เป็นสาเหตุหนึ่งของโรคสมองเสื่อม  มีความแตกต่างกัน  คือ

 โรคสมองเสื่อมคืออาการที่ทำให้มีความจำเสื่อม  และความสามารถด้านอื่นๆ ของสมองก็ลดลงไปด้วย  เป็นโรคที่เกิดจากหลายสาเหตุ

 ส่วนโรคอัลไซเมอร์หรือโรคสมองฝ่อเป็นเพียงสาเหตุหนึ่งของโรคสมองเสื่อม  เป็นโรคที่เกิดจากเนื้อสมองเสื่อมสลาย



 ในยุโรปและอเมริกา  มีผู้ป่วยสมองเสื่อมที่เกิดจากโรคอัลไซเมอร์เป็นจำนวนมากถึง 50-70 %  เลยทีเดียว
และมักพบในคนสูงอายุวัย 65-70 ปีขึ้นไป  ภาวะสมองเสื่อมที่เกิดขึ้นในเมืองไทยพบว่ามีประชากรอายุเกิน 60 ปีเป็นกันถึง 3 ล้าน 1 แสนคน  หรือร้อยละ 1.8 ถึง 10.2 ตั้งแต่อายุ 55 ปีขึ้นไป

 อาการของโรคสมองเสื่อมรวมทั้งอัลไซเมอร์  คือภาวะของสมองที่เสื่อมถอยด้อยลงไปจากที่เคยเป็น  ไม่ใช่แค่ความจำอย่างเดียว  แต่รวมไปถึงความคิด  การตัดสินใจ  และพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปจากเดิม  ซึ่งแต่ละคนจะมีการเปลี่ยนแปลงมากบ้างน้อยบ้างแตกต่างกันไป และเมื่อมีอาการมากขึ้น  จะไม่สามารถดูแลตนเองได้  สมองเสื่อมมีโอกาสเกิดได้ทุกอายุ  เนื่องจากเกิดจากหลายสาเหตุ  แต่ที่พบมากในผู้สูงอายุเพราะความเสื่อมของร่างกายตามกาลเวลา  มิใช่ว่าเมื่อมีอายุมากขึ้นหรือเป็นผู้สูงอายุแล้วจะต้องเป็นโรคสมองเสื่อมเสมอไป  อีกทั้งโรคสมองเสื่อมมีได้หลายแบบโดยไม่จำเป็นต้องเริ่มจากอัลไซเมอร์  มันอาจจะเกิดจากหลอดเลือดสมองตีบ  พันธุกรรม  หรือแม้แต่ยาบางชนิดก็อาจเป็นสาเหตุได้

 ความเครียดก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำลายสมองได้โดยตรง  โดยเฉพาะผู้ที่ใช้สมองมาก  ใช้ความคิดตลอดเวลา  ใช้สมองแบบไม่หยุดหย่อน  ปล่อยปละละเลย  ไม่ผ่อนคลาย  สร้างสารก่อความเครียดให้กับตนทุกวัน  ความเสื่อมและความชราของสมองก็จะเร่งเข้ามาเยือนเร็วขึ้น

 อาการรูปธรรมของสมองเสื่อมส่วนมากจะเป็นดังต่อไปนี้

 - มีความบกพร่องในการรับรู้  หรือเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ    ไม่สามารถจดจำคำพูดระหว่างสนทนา

 - มีความบกพร่องในการใช้ภาษา  ทั้งภาษาพูดภาษาเขียน  นึกชื่อสิ่งของไม่ออก  ผิดปกติในการเรียกชื่อคนและสิ่งของ  พูดไม่เป็นประโยคหรือขาดความต่อเนื่อง 

 - มีความบกพร่องในการประกอบกิจวัตรและกิจกรรมประจำวัน  ไม่สามารถทำกิจวัตรที่เคยทำเป็นประจำได้ จนในที่สุด  จะมีลักษณะกลับไปเป็นเหมือนเด็ก  ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้

 - มีบุคลิกภาพ  พฤติกรรม  และอารมณ์ที่ผิดแปลกไปจากเดิม  อาจกลายเป็นคนเฉยเมย  ไม่กระตือรือร้น  โมโหฉุนเฉียวง่าย  ทำอะไรซ้ำซาก 

 - มีอาการนอนไม่ค่อยหลับ  ระยะท้ายๆ อาจมีอาการทางจิต  เช่นภาพหลอนหรือหลงผิดเป็นต้น

 สำหรับอาการเหล่านี้  แยกได้ตามความหนักเบาของโรคได้เป็น 3 ระดับ  คือ

1.ระดับอ่อนหรือไม่รุนแรง  เป็นระดับที่ภาวะเสื่อมเล็กน้อย  ผู้ป่วยจะมีอาการหลงลืม  ลืมว่าวางของที่ไหน จำชื่อคนหรือสถานที่คุ้นเคยไม่ได้  ความจำในอดีตยังดีอยู่  เริ่มมีความบกพร่องในการทำงานและสังคมชัดเจน  แต่ยังสามารถช่วยเหลือตัวเองในชีวิตประจำวันได้  การตัดสินใจยังค่อนข้างดี

2.ระดับปานกลาง  ความจำจะเริ่มเสื่อมมากขึ้น  มีความบกพร่องในการเข้าใจ  การรับรู้  การแก้ปัญหาและการตัดสินใจ  เช่นไม่สามารถคำนวณตัวเลขง่าย ๆ ได้  เปิดโทรทัศน์ไม่ได้  ทำสิ่งที่เคยทำมาก่อนไม่ได้  ลืมชื่อคนในครอบครัว  อาจจะมีอาการทางจิตเช่นประสาทหลอนหลงผิด  เริ่มไม่สามารถช่วยตัวเองได้  ให้อยู่คนเดียวอาจเป็นอันตราย  ต้องอาศัยผู้ดูแลช่วยเหลือ   

3.ระดับรุนแรง  ผู้ป่วยจะไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้เลย  ต้องมีผู้เฝ้าดูแลตลอดเวลา จำสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นไม่ได้แม้แต่ตัวเอง  มีบุคลิกภาพเปลี่ยนไป  เคลื่อนไหวช้าหรือไม่ได้  แม้แต่สุขภาพตัวเองก็ดูแลไม่ได้เช่นกลั้นปัสสาวะหรืออุจจาระไม่ได้  อาจเกิดอาการแทรกซ้อนที่อาจเป็นอันตรายต่อชีวิตได้

ส่วนการรักษาขึ้นอยู่กับสาเหตุและการวินิจฉัยโรคที่ถูกต้อง   ส่วนใหญ่จะแก้ไขให้ดีดังเดิมได้ยาก  ยกเว้นภาวะเลือดออกในสมองบางกรณี  สามารถรักษาให้หายได้โดยการผ่าตัด  แพทย์อาจใช้ยาบำรุงสมอง  เพื่อชะลอความเสื่อมให้ช้าลง  โดยทั่วไปการป้องกันในสิ่งที่ทำได้ย่อมจะดีที่สุด  เราไม่สามารถหยุดยั้งความเสื่อมตามธรรมชาติได้  แต่เราสามารถดูแลสุขภาพของเราให้ดี  เช่น  ควบคุมความดันโลหิตสูง  เบาหวาน  ไขมันให้อยู่ในเกณฑ์ปกติอย่างสม่ำเสมอ  ไม่สูบบุหรี่  ไม่ดื่มเหล้า  หลีกเลี่ยงยาเสพติด  ไม่สำส่อนทางเพศ  ทำจิตใจให้สดชื่นแจ่มใสอยู่เสมอ  มีความรักความเข้าใจความอบอุ่นในครอบครัว  ยอมรับสภาพตามความเป็นจริงไม่เคร่งเครียดเกินไป  เพียงเท่านี้ก็สามารถทำให้ชีวิตมีความสุขได้ในระดับที่น่าพอใจ

ยังไม่มีอาหารใดที่พิสูจน์แน่ชัดแล้วว่าช่วยรักษาโรคสมองเสื่อมได้จริง  บางรายสมองเสื่อมเพราะขาดสารอาหารบางชนิด  โดยเฉพาะวิตามิน เช่นวิตามิน บี. 1  บี.12 ซึ่งเป็นสารช่วยให้การทำงานของเซลล์สมองเป็นไปตามปกติ  มีอาหารบางอย่างช่วยให้การทำงานของสมองด้านความจำดีขึ้นบ้างเช่นจมูกข้าวมีสารโคลีนช่วยในการสร้างสื่อประสาทของเซลล์สมอง  ข้าวกล้องมีวิตามินบีสูง  ช่วยบำรุงเซลล์สมอง ไข่แดงและผักใบเขียวมีโคลีนช่วยในการสร้างสารสื่อประสาทของเซลล์สมอง  อาหารที่ดีสำหรับผู้ป่วยโรคสมองเสื่อมคืออาหารที่ครบถ้วนทางโภชนาการทั้ง 5 หมู่  ควรดื่มน้ำให้พอเพียงอย่างน้อยวันละ 8-10 แก้ว

สำหรับการดูแลผู้ป่วย  ผู้ดูแลจะต้องเข้าใจและยอมรับภาวะสมองเสื่อมของผู้ป่วยเรื่องความจำและการใช้ความคิด  จะมีส่วนสำคัญในการช่วยเหลือผู้ป่วยทำกิจวัตรประจำวัน เช่นกินอาหาร ปัสสาวะ  อุจจาระ อาบน้ำ  ใส่เสื้อผ้า  ออกนอกบ้านเป็นต้น  ช่วยการให้ยาพาไปพบแพทย์  ดูแลสถานที่บ้านพักอาศัยให้ปลอดภัยสำหรับผู้ป่วย  การดูแลด้านจิตใจและอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับจิตใจ  การออกกำลังกายรวมถึงกิจกรรมอื่นๆ  นอกจากดูแลผู้ป่วยแล้ว  ผู้ดูแลยัง
ต้องคอยดูสุขภาพจิตของตนด้วย  เพราะต้องเหนื่อยยากลำบากกาย  ต้องอดทนอดกลั้นในระดับสูงมาก  เพื่อมิให้มีการผิดพลาดในการดูแลผู้ป่วยโรคสมองหรือความจำเสื่อมตามหน้าที่

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ล้มทุกทฤษฏี คนแก่ 70 ก็มีลูกได้!

The Hulk ตัวจริงแห่งปากีสถาน

มนุษย์ไร้หน้า